วัสดุอุดรอยต่อคืออะไร
วัสดุอุดรอยต่อ หรือที่ภาษาอังกฤษเรียกว่า “Sealant” หมายถึง
วัสดุที่ใช้ในการปิดรอยต่อระหว่างวัสดุไม่ว่าจะเป็นวัสดุชนิด
เดียวกันหรือไม่ก็ตาม เพื่อความเรียบร้อยสวยงามและป้องกันสิ่งต่างๆ
ไม่ว่าจะเป็นเศษฝุ่นละออง น้ำ ก๊าซผ่านเข้าระหว่างรอยต่อนี้ได้ หรืออาจ
เรียกว่าเป็น “กาว” ประเภทหนึ่งก็ได้ เพราะอีกนัยหนึ่งก็เป็นการเชื่อม
ประสานวัสดุเข้าด้วยกัน วัสดุที่ใช้อุดรอยต่อนี้จึงมีคุณสมบัติเป็นของ
กึ่งเหลวเพื่อสามารถเข้าไปแทรกบริเวณรอยต่อได้ แล้วจึงแข็งตัวและ
มีลักษณะยืดหยุ่นให้ตัวได้เพื่อให้วัสดุตั้งแต่ 2 ชนิดที่มาจบกันนี้มีโอกาส
ขยับตัวได้ประมาณหนึ่ง โดยที่วัสดุอุดรอยต่อนี้ไม่แตกร้าว
ในงานก่อสร้างนั้นต้องใช้วัสดุอุดรอยต่อทั้งในงานโครงสร้าง
เช่น งานรอยต่อระหว่างโครงสร้างที่วิศวกรได้ตั้งใจกำหนดไว้ เพื่อให้
สอดคล้องกับพฤติกรรมของโครงสร้างที่ได้ออกแบบเอาไว้ (Construction
Joint) หรือเป็นรอยต่อระหว่างโครงสร้างสำหรับโครงสร้างที่ม
ลักษณะยาวต่อเนื่องจะต้องมีรอยต่อเพื่อรองรับการยืดหดขยายตัวของ
วัสดุโครงสร้าง (Expansion Joint) และในงานสถาปัตย์ก็ใช้วัสดุอุดรอย
ต่อนี้กันมากมายในการอุดปิดรอยต่อในการจบงาน เช่น รอยต่อระหว่าง
บานประตู-หน้าต่างอลูมิเนียมกับผนังก่ออิฐฉาบปูน รอยต่อระหว่างฝ้า
เพดานกับผนัง รอยต่อของงานเฟอร์นิเจอร์บิวท์อิน ฯลฯ จะเห็นได้ว่า
วัสดุอุดรอยต่อในงานก่อสร้างของเรามากมาย
วัสดุอุดรอยต่อที่ใช้งานกันแบ่งเป็นประเภทใหญ่ๆ
อะคริลิก (Acrylic sealant) เป็นวัสดุอุดรอยต่อที่ทำมาจาก
วัสดุโพลิเมอร์กลุ่มไฮโดรคาร์บอน (คาร์บอน ไฮโดรเจน ออกซิเจน) ใช้
น้ำเป็นตัวทำละลาย (Water based) แต่เมื่อแข็งตัวแล้วจะไม่ละลายน้ำ
ถ้าอธิบายให้เห็นภาพและเข้าใจง่ายขึ้นอะคริลิกก็เป็นเหมือนแป้งกาว
latex ผสมน้ำนั่นเอง ช่างมักจะเรียกว่าแด๊ป (DAP) ซึ่งมีที่มาจากยี่ห้อ
อะคริลิกอุดรอยต่อชื่อดังที่เข้ามาทำการตลาดในยุคแรกๆ ที่นำอะคริลิ
กอุดรอยต่อมาใช้งาน ทำให้ช่างเรียกวัสดุประเภทนี้ตามชื่อยี่ห้อไปเลย
คุณสมบัติของอะคริลิก คือ มีความยืดหยุ่นน้อย มีความคงทน
ต่อสภาพแวดล้อมได้ตำ่ จึงเหมาะกับงานอุดรอยต่อเพื่อความสวยงาม
ในงานภายใน แต่จุดเด่นของอะคริลิก คือ สามารถขัดแต่งผิวงานได้และ
ทาสีทับได้ สามารถใช้กับวัสดุทั้งผิวเรียบและผิวขรุขระและมีราคาไม่แพง
(ราคาประมาณ 20-30 บาท ต่อ 300 ml*) แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น อะคริลิกที่ขาย
ตามท้องตลาดนั้นมีหลายระดับหลายราคามาก ตั้งแต่มีความยืดหยุ่น
น้อยไปจนถึงมากซึ่งเกิดจากสารผสมเพิ่มเพื่อเพิ่มคุณสมบัติต่างๆ เข้าไป
เช่น เพิ่มความยืดหยุ่น สารป้องกันเชื้อรา ทนต่อรังสี UV และสภาพ
แวดล้อมภายนอก ซึ่งแน่นอนว่าราคาก็จะแพงกว่าระดับใช้งานทั่วไป
มีหลากหลายสีให้เลือกใช้ มีบรรจุภัณฑ์เป็นหลอดทรงกระบอกปลาย
เป็นกรวยปลายแหลมสำหรับใช้งานในบริเวณรอยต่อแคบๆ
โพลียูริเทน (Polyurethane) มักเรียกกันสั้นๆ ว่าพียู (PU)
เป็นวัสดุประเภทพลาสติกเทอร์โมเซต คือ ไม่สามารถหลอมเหลวขึ้น
รูปใหม่ได้ ถูกผลิตขึ้นเพื่อใช้ทดแทนยางธรรมชาติใช้นำ้มันเป็นตัวทำ
ละลายเป็นสารประกอบอินทรีย์ (Organic Based) เมื่อนำไปเผาไฟจะมี
ควันดำ โพลียูริเทนที่นำมาใช้ในงานอุดรอยต่อจะเป็นประเภทโฟมยืดหยุ่น
บรรจุอยู่ในหลอด
คุณสมบัติของโพลียูริเทน คือ มีความยืดหยุ่นปานกลาง มีความ
คงทนต่อสภาพแวดล้อมได้ปานกลาง สามารถขัดแต่งผิวงานและทาสี
ทับได้ สามารถใช้กับวัสดุทั้งผิวเรียบและผิวขรุขระ สามารถยึดติดกับผิวที่
มีฝุ่นเกาะได้ ราคาแพงกว่าอะคริลิคอยู่พอสมควร ด้วยเหตุที่โพลิยูริเทน
มีคุณสมบัติโดดเด่นตรงที่สามารถใช้งานบริเวณผิวที่มีฝุ่นเกาะได้ดี เช่น
ผิวคอนกรีตและยังสามารถทาสีทับได้ จึงเหมาะกับงานอุดรอยต่อ
precast concrete ภายนอก แต่ก็มีจุดอ่อนตรงที่มีความคงทนต่อรังสี
UV ในระดับปานกลาง ซึ่งหากใช้งานบริเวณภายนอกจะต้องตรวจสอบ
ว่าโพลิยูริเทนเสื่อมสภาพหรือไม่ อย่างน้อยก็ทุกๆ 3-5 ปี มีหลากหลาย
สีให้เลือกใช้ ราคาแพงกว่าอะคริลิคแต่ถูกกว่าซิลิโคน (ประมาณ 160-
200 บาท ต่อ 600 ml*) ที่นำมาขายในบ้านเรามักจะใช้บรรจุภัณฑ์เป็น
แผ่นฟอยด์หุ้มขนาด 600 ml ดูคล้ายๆ ไส้กรอก ช่างจึงมักเรียก PU ว่า
“ไส้กรอก”
ซิลิโคน (Silicone sealant) เป็นวัสดุอุดรอยต่อที่ทำมาจาก
วัสดุโพลิเมอร์ มีองค์ประกอบหลัก คือ ซิลิกอน คาร์บอน ไฮโดรเจน
ออกซิเจน) เป็นสารประกอบอนินทรีย์ (Inorrganic Based) มีลักษณะ
เป็นของกึ่งเหลวมีความยืดหยุ่นสูง คนทั่วไปจึงมักสรุปเรียกวัสดุอุดรอย
ต่อทั้ง 3 ประเภทว่าซิลิโคน เป็นเพราะคุณสมบัติของมันที่สามารถนำไป
ใช้งานได้หลากหลายเรียกได้ว่าสารพัดประโยชน์จนคนทั่วไปเข้าใจผิด
คุณสมบัติของซิลิโคน คือ มีความยืดหยุ่นสูงและคงทนต่อรังสี
UV ได้ดี แต่จุดที่แตกต่างกับอะคริลิกและโพลียูริเทนอย่างชัดเจน คือ ไม่
สามารถทาสีทับได้ ด้วยความที่มีคุณสมบัติอื่นๆ ที่สำคัญสูงกว่าอะคริลิก
และโพลิยูริเทน ซิลิโคนจึงถูกเลือกใช้ในงานที่ต้องการความคงทนต่อ
สภาพแวดล้อมมากกว่า แต่ซิลิโคนมีจุดอ่อน คือ ไม่เหมาะกับการติดตั้ง
บริเวณผิววัสดุที่มีฝุ่นเกาะ เพราะจะทำให้ซิลิโคนไม่ทำหน้าที่ประสาน
ระหว่างวัสดุตัวจบแต่จะไปจับกับฝุ่นแทน ทำให้ไม่สามารถยึดเกาะกับ
ผิววัสดุได้ จุดอ่อนอีกข้อที่สำคัญ คือ วัสดุบางประเภทที่มีปฏิกิริยากับ
กรดก็จะไม่สามารถใช้งานกับซิลิโคนที่มีฤทธิ์เป็นกรดได้เพราะจะไป กัดกร่อนผิววัสดุ เช่น หิน เหล็ก อลูมิเนียม ฯลฯ
ซิลิโคนมีหลายสีให้เลือกใช้เช่นเดียวกันกับวัสดุอุดรอยต่ออื่น
แต่ราคาขายจะแพงที่สุดในวัสดุอุดรอยต่อทั้ง 3 กลุ่ม (ประมาณ 130
บาท ต่อ 300 ml*) ระดับราคาของซิลิโคนก็ค่อนข้างหลากหลายขึ้นอยู่
กับว่าจะผสมสารเพิ่มประสิทธิภาพในการยืดหยุ่นเพิ่มขึ้น ประสิทธิภาพ
ป้องกันเชื้อราเพิ่มขึ้นหรือไม่ ราคาก็จะสูงขึ้นตามคุณสมบัติที่สูงขึ้น บรรจุ
ภัณฑ์ที่ใช้จะมีทั้งหลอดทรงกระบอกเหมือนอะคริลิคและฟอยด์เหมือน
PU ซิลิโคนที่ใช้อุดรอยต่อนี้แบ่งเป็น 2 ประเภท
- ประเภทมีกรด (Acetic cure) ซิลิโคนประเภทนี้เมื่อใช้งาน
จะมีกลิ่นเหม็นเปรี้ยวของกรดระเหยออกมา แห้งเร็ว เหมาะกับการใช้
งานในการอุดรอยต่อระหว่างกระจกกับกระจก มีแรงยึดเกาะที่แข็งแรง
กรณีใช้ประเภทใสจะมีความใสเนียนไปกับกระจกใสและไม่เหมาะกับ
พื้นผิวที่มีผลกระทบจากกรดกัดกร่อนเช่นโลหะ หรือหินอ่อน มีราคาตำ่
กว่าประเภทไร้กรด - ประเภทไร้กรด (Neutral cure) ซิลิโคนประเภทนี้จะมีฤทธิ์
เป็นกลาง ประเภทใสจะมีความใสน้อยกว่าประเภทมีกรด (จะออกใส
ขุ่น) แห้งช้ากว่า มีความแข็งแรงน้อยกว่า แต่มีความยืดหยุ่นมากกว่า
ใช้ในกรณีที่ผิววัสดุไม่เหมาะกับการสัมผัสกับกรด มีราคาแพงกว่า
ประเภทมีกรด
รูปภาพแสดงรายละเอียดที่แตกต่างกันบนฉลากของซิลิโคนประเภทไร้กรด
และมีกรด
ซิลิโคนกับงานคอนกรีต precast
แม้ว่าซิลิโคนจะมีคุณสมบัติป้องกันรังสี UV ได้ดีกว่าโพลียูริเทน
น่าจะเหมาะกับงานที่ใช้ภายนอก แต่ก็มีจุดอ่อนคือ ไม่เหมาะกับผิวที่มี
ฝุ่นเกาะ เช่น ผิวปูน ผิวคอนกรีต เพราะตัวซิลิโคนจะไม่จับกับผิววัสดุแต่
จะไปจับกับฝุ่นแทนทำให้ไม่มีแรงยึดเกาะ หากจะนำซิลิโคนมาใช้งาน
ประเภทนี้ก็ต้องทำความสะอาดพื้นผิวให้ปราศจากฝุ่นและต้องทานำ้ยา
เคลือบผิวอีกชั้นเพื่อเพิ่มแรงยึดเกาะด้วย ซึ่งมีความยุ่งยากในการใช้งาน
และค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้น นี่ยังไม่นับประเด็นไม่สามารถทาสีทับได้อีก (ทาสี
ไม่ติด) จึงไม่นิยมนำซิลิโคนมาใช้งานกับงานผิวรอยต่อ precast